รูปหน้าปก

รู้ก่อนสร้าง! 5 ส่วนประกอบระบบไฟฟ้าในโรงงาน

          หากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมกำลังมองหาอุปกรณ์เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับใช้ในโรงงานฯ ควรศึกษาเกี่ยวกับระบบเครื่องกลไฟฟ้าในโรงงานก่อนลงมือสร้างโรงงานฯ เพราะป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ในการผลิตและทำงานในโรงงาน ระบบเครื่องกลไฟฟ้าประกอบด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ หากเลือกระบบที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้

ส่วนประกอบเครื่องกลไฟฟ้าในโรงงาน

  1. ระบบควบคุมต่าง ๆ

ระบบควบคุมไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญในการการควบคุมและควบคุมการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงงาน เพื่อให้กระบวนการผลิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย อาทิเช่น 

  • ระบบ PLC (Programmable Logic Controller) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการควบคุมและออโตเมชันของเครื่องจักรและกระบวนการในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงงาน, โรงค้าน, อาคารอัตโนมัติ, ระบบสายพาน, และอื่น ๆ ที่ต้องการการควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) เป็นระบบที่ใช้ในการควบคุมและควบคุมกระบวนการในอุตสาหกรรมและพื้นที่ต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลและส่งคำสั่งเพื่อควบคุมอุปกรณ์และกระบวนการที่มีการใช้งานแต่ละวัน
  • ระบบจ่ายไฟฟ้า เป็นระบบควบคุมไฟฟ้าจะมีการจ่ายไฟฟ้าที่สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ ในโรงงาน. ระบบนี้จะปรับและควบคุมระดับแรงดันและกระแสไฟฟ้าเพื่อให้เครื่องจักรทำงานอย่างเหมาะสม
  • ระบบเซนเซอร์ เป็นระบบควบคุมไฟฟ้าจะใช้เซนเซอร์และอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมและการทำงานของอุปกรณ์ เช่น อุณหภูมิ, ความดัน, ระดับของสารอุจจาระวัตถุ และอื่น ๆ
  • และระบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของโรงงานอุตสาหกรรมแต่ละประเภท

  • พลังงานสำรอง

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอาจมีการสำรองไว้ในกรณีมีการขาดแคลนพลังงานหลัก ซึ่งจะช่วยให้การทำงานหรือการผลิตไม่หยุดชะงักในกรณีฉุกเฉิน อาทิเช่น

  • ระบบ UPS (Uninterruptible Power Supply) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรองพลังงานไฟฟ้าในกรณีที่มีการตกไฟฟ้า โดยมักใช้แบตเตอรี่เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าสามารถทำงานได้ต่อเนื่องแม้ในกรณีที่มีขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและหยุดการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้พลังงานทดแทน ซึ่งหากโรงงานสามารถลงทุนในการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (solar), พลังงานลม (wind), หรือการใช้การควบคุมพลังงานไฟฟ้าที่เป็นครอบครัวเพื่อลดการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานสูงสุดและลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้า
  • การบริหารจัดการพลังงาน การบริหารจัดการพลังงาน (energy management) เป็นวิธีการประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยใช้การควบคุมการใช้พลังงานและการเซตการทำงานเพื่อประหยัดพลังงาน

  • อุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า

อุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าในโรงงานมีหลายชนิดและมีหน้าที่ในการควบคุมและควบคุมระบบไฟฟ้าในโรงงาน เช่น

  • คอนเทคเตอร์ (Contactors): คอนเทคเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดและปิดวงจรไฟฟ้าสำหรับควบคุมเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหญ่ เช่น มอเตอร์และเครื่องจักร
  • รีเลย์ (Relays): รีเลย์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมวงจรไฟฟ้าแบบเปิด-ปิดโดยใช้สัญญาณจากอุปกรณ์ควบคุมเช่น เซนเซอร์หรือ PLC
  • กรุยเซอร์ (Sensors): กรุยเซอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจวัดสถานะแวดล้อมและการทำงานของอุปกรณ์ เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ, เซนเซอร์ความดัน, เซนเซอร์ระดับน้ำ, เซนเซอร์ความเข้มแสง, และอื่น ๆ
  • อุปกรณ์ควบคุม PLC (Programmable Logic Controller): PLC เป็นคอมพิวเตอร์เล็กที่ใช้ในการควบคุมและออโตเมชันของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงาน โดยใช้โปรแกรมเพื่อกำหนดตรรกะและควบคุมการทำงาน
  • แปรงวงจร (Circuit Breakers): แปรงวงจรใช้ในการป้องกันความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าเกินความจุของวงจร โดยการตัดการส่งข้อมูลไฟฟ้าเมื่อเกิดความเร่งด่วน
  • อุปกรณ์ควบคุมการเร่งด่วน (Emergency Control Devices): อุปกรณ์เช่น สวิตช์หยุดฉุกเฉิน (Emergency Stop Switch) และสวิตช์ตัดด่วน (Emergency Cut-off Switch) ใช้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อหยุดการทำงานของอุปกรณ์
  • แปรงไฟฟ้า (Transformers): แปรงไฟฟ้าใช้ในการเปลี่ยนแปลงระดับแรงดันไฟฟ้าเพื่อให้สามารถใช้กับอุปกรณ์ที่มีความต้องการแรงดันต่าง ๆ
  • ควบคุมแรงดัน (Voltage Regulators): ควบคุมแรงดันใช้ในการรักษาแรงดันไฟฟ้าในระดับที่เป็นปกติเพื่อป้องกันความเสียหายจากแรงดันไฟฟ้าที่ไม่เสถียร
  • แพ็กเกจไฟฟ้า (Switchgear): แพ็กเกจไฟฟ้าเป็นระบบควบคุมและป้องกันสามารถทำงานแบบตัดระบบไฟฟ้าในกรณีขาดแคลนเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ระบบควบคุมสายพาน (Conveyor Control Systems): ระบบนี้ใช้ในการควบคุมการทำงานของสายพานและการถ่ายยนต์ของวัตถุที่ผ่านทางสายพาน

  • สายไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

ในโรงงานและระบบไฟฟ้าต่าง ๆ มักใช้สายไฟฟ้าและสายสายต่างชนิดเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไปยังอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ เช่น

  • สายไฟฟ้าไร้หุ้ม (Unshielded Cable): สายไฟฟ้าไร้หุ้มมักใช้ในแบบที่ต้องการสายเดียวเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้า ตัวสายมักทำจากทองหรืออลูมิเนียมและมีฉนวนไฟฟ้าที่จะป้องกันจากแรงดันไฟฟ้าและการตรวจสอบไฟฟ้าจากภายนอก
  • สายไฟฟ้าร้อน (Power Cable): สายไฟฟ้าร้อนมักใช้ในการส่งพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไปยังเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงาน สายไฟฟ้าร้อนมักจะมีขนาดใหญ่และเป็นพลาสติกเพื่อทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เปียกน้ำและเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
  • สายไฟฟ้าต้านไฟหาย (Fire-Resistant Cable): สายไฟฟ้าต้านไฟหายมีความต้านไฟหายและใช้ในระบบเครื่องสัญญาณการสัญญาณควบคุมความปลอดภัย เช่น ระบบไฟฟ้าสำรองในกรณีเกิดเหตุไฟไหม้
  • สายแบนด์วิดที่หุ้มด้วยทองเชื่อม (Braided Shielded Cable): สายไฟฟ้านี้มีฉนวนแบนด์วิดหรือโลหะเพื่อป้องกันการรบกวนอิเล็กทรอนิกส์และอินเตอร์เฟรรนซ์ สายนี้มักใช้ในระบบควบคุมและสื่อสารเพื่อป้องกันความรบกวนจากแม่เหล็กและสัญญาณรบกวนอื่น ๆ
  • สายเน็ตเวิร์ก (Ethernet Cable): สายเน็ตเวิร์กใช้ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล ทำให้เครื่องต่าง ๆ สามารถติดต่อกันผ่านเครือข่าย
  • สายไฟฟ้าปรับปรุง (Twisted Pair Cable): สายไฟฟ้าปรับปรุงมักใช้ในระบบสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เนื่องจากการปรับปรุงทำให้สายทนต่อการรบกวนและเสียงสัญญาณ
  • สายอนุกรมพลังงาน (Flexible Power Cable): สายอนุกรมพลังงานมักใช้ในระบบหลายๆ เช่นระบบสายพานและเครื่องจักรที่ต้องการความยืดหยุงและความต้านทานต่อการงอ
  • สายคู่คายแบนด์วิด (Coaxial Cable): สายคู่คายแบนด์วิดใช้ในระบบการสื่อสารแบบสัญญาณควบคุมและสัญญาณวิดีโอ เนื่องจากมีการสนับสนุนสัญญาณที่มีความถี่สูง
  • สายคู่สาย (Twisted Pair Cable): สายคู่สายเป็นคู่ของสายที่เคลือบกันเพื่อลดการรบกวนและสะท้อนสัญญาณไฟฟ้าในระบบการสื่อสารและควบคุม
  • สายไฟฟ้าต้านและสารเคมี (Chemical Resistant Cable): สายไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและควบคุมอุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีที่สามารถเปียกที่สายได้

  • ระบบสำรองข้อมูล

การสำรองข้อมูลไฟฟ้าในโรงงานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันข้อมูลที่สำคัญและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในกรณีเกิดข้อขัดข้องหรือฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและความปลอดภัย

  • ระบบสำรองไฟฟ้า (Backup Power Systems): การใช้ระบบสำรองไฟฟ้าเช่น UPS (Uninterruptible Power Supply) เพื่อรักษาการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในกรณีขาดไฟฟ้า ระบบนี้มักใช้แบตเตอรี่เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าสามารถทำงานได้ต่อเนื่องในกรณีขาดไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าสำรองอื่น ๆ
  • สำรองข้อมูล (Data Backup): การสำรองข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันข้อมูลในกรณีที่เกิดความสูญหายหรือเสียหาย โดยใช้ระบบสำรองข้อมูลที่เป็นระบบอัตโนมัติเพื่อสำรองข้อมูลประจำ ๆ และการทดสอบการกู้คืนข้อมูลให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้
  • การควบคุมและควบคุมการเข้าถึงข้อมูล (Access Control): การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีอำนาจ การใช้ระบบรหัสผ่านและการระบบการระบบการตรวจสอบความถูกต้องของผู้ใช้เป็นตัวอย่าง
  • การควบคุมการร้ายแรง (Disaster Recovery): การมีแผนการสำรองข้อมูลและการควบคุมการร้ายแรงเพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน เช่น ภัยธรรมชาติ, ไฟไหม้, หรือความเสียหายจากความร้ายแรงอื่น ๆ
  • การควบคุมการสำรองข้อมูลแบบออนไลน์ (Online Backup): การสำรองข้อมูลออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลสามารถกู้คืนได้ทันทีในกรณีที่เกิดความเสียหาย และการระบบระบบการทดสอบความถูกต้องของการสำรองข้อมูลแบบออนไลน์เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้
  • การใช้สิ่งสำรองข้อมูลฟิสิกส์ (Physical Data Backup): การสำรองข้อมูลบนสื่อสาย (อุปกรณ์สำรองข้อมูลแบบ USB, ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก) เพื่อป้องกันการสูญหายข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน

ระบบไฟฟ้าในโรงงานควรถูกออกแบบและดูแลรักษาอย่างดีเพื่อให้โรงงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การทำงานร่วมกับนักวิศวกรไฟฟ้าและผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบการสร้างโรงงานฯ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อความประสงค์ของโรงงานในการบรรลุผลสำเร็จในการผลิต หากต้องการที่ปรึกษา FU LU SHOU Architecture บริษัทรับออกแบบและสร้างอาคารต่าง ๆ  ที่ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นโดยทีมงานสถาปนิกคุณภาพมากประสบการณ์ มั่นใจในผลงงานและผลลัพธ์ที่ได้คุณภาพตามความต้องการของลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องฮวงจุ้ยเพื่อเสริมพลังงานที่ดีให้กับการดำเนินธุรกิจ